เทคโนโลยีที่ซ่อนอยู่ในกล่องดำเล็กๆ
ปลายปีที่แล้ว ฉันมีโอกาสนั่งอยู่เบาะหลังของรถซีดานไฟฟ้าสี่ประตูรุ่นต้นแบบของ BMW พร้อมกับ Jens Klingmann นักขับทดสอบและนักแข่งรถ 24 ชั่วโมงของแบรนด์ การทดลองเกิดขึ้นที่ BMW Performance Driving Center รัฐเซาท์แคโรไลนา ซึ่งในวันนั้น อากาศหนาวเย็นจับใจ
แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดกลับไม่ใช่เสียงล้อเสียดสีกับพื้นแทร็ก หรือความเร็วที่พุ่งทะยานถึง 90 ไมล์ต่อชั่วโมง สิ่งที่ทำให้การขับขี่แตกต่างออกไปคือกล่องสีดำเล็กๆ ที่เรียกว่า “Heart of Joy” ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเทคโนโลยีใหม่ของ BMW สำหรับยุคของรถยนต์ไฟฟ้า
“Heart of Joy” คืออะไร?
Heart of Joy เป็น หน่วยควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) ขนาดเพียง 8×8 นิ้ว ที่รวมระบบควบคุมพลวัตการขับขี่และระบบส่งกำลังไว้ในคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียว มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับแพลตฟอร์ม Neue Klasse ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของ BMW ที่จะเปิดตัวปลายปีนี้
สิ่งที่ทำให้ Heart of Joy โดดเด่นคือ การพัฒนาระบบทั้งหมดภายในบริษัทเอง ต่างจากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ที่มักใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์หลายเจ้าแล้วเขียนซอฟต์แวร์เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้ ซึ่งทำให้ประสบการณ์การขับขี่ของรถยนต์หลายแบรนด์คล้ายคลึงกัน BMW ต้องการฉีกแนวทางนี้ และสร้าง ซอฟต์แวร์ที่ควบคุมทุกอย่างในรถยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่ SUV ไปจนถึงรถสปอร์ต
ทำไม BMW ถึงต้องพัฒนา ECU เอง?
Christian Thalmeer วิศวกรอาวุโสด้านไดนามิกของ BMW กล่าวว่า
“คำถามที่เราต้องการตอบคือ ความสนุกในการขับขี่ควรเป็นอย่างไรในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า?”
Heart of Joy ไม่ได้เป็นแค่หน่วยประมวลผลที่ทำให้รถวิ่งเร็วขึ้น แต่มันสามารถควบคุม แรงบิดและระบบเบรก เพื่อให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น
- การเบรกที่สมบูรณ์แบบกว่าเดิม
- การใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นถึง 25%
- การปรับแรงเบรกที่แต่ละล้อให้เหมาะสมกับการเข้าโค้ง
นี่เป็นแนวคิดใหม่ของ BMW ที่เรียกว่า “Joy of Stopping” หรือความสนุกของการหยุดรถ เพราะระบบเบรกสามารถ ชาร์จพลังงานกลับเข้าแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นถึง 60%
ขับขี่อย่างลื่นไหลแม้ไม่แตะเบรก
ขณะทดสอบรถต้นแบบที่เรียกว่า Vision Driving Experience (VDX) บนแทร็กทดสอบ ฉันสังเกตว่า Klingmann นักขับทดสอบ แทบไม่แตะเบรกเลย แต่แค่ปล่อยคันเร่ง รถก็สามารถลดความเร็วลงได้เอง
BMW ไม่ได้เปิดเผยสเปกของรถทดสอบรุ่นนี้มากนัก แต่สิ่งที่เรารู้คือ
✅ มีแรงบิดมหาศาล 13,269 lb-ft
✅ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานขึ้น 25%
✅ ระบบควบคุมการขับขี่ เร็วขึ้น 10 เท่า เมื่อเทียบกับ ECU ทั่วไป
เป้าหมายของ BMW: ทำให้รถ EV ยังคง “ขับสนุก”
BMW เป็นที่รู้จักในฐานะ “Ultimate Driving Machine” หรือรถที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุด พวกเขาไม่ต้องการให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นเพียงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีล้อ พวกเขาต้องการให้มันยังคงความเป็น BMW
ดังนั้น Heart of Joy จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้า ตอบสนองเร็วขึ้น เข้าโค้งได้มั่นคงขึ้น และมอบความรู้สึกเชื่อมโยงกับถนนอย่างแท้จริง
BMW กับความท้าทายในอุตสาหกรรม
BMW CTO Frank Weber กล่าวว่า ความล้มเหลวเกือบจะเปิดตัว 7-Series ไม่ได้เมื่อ 25 ปีก่อน กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ BMW มีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในบริษัทเอง
“ในตอนนั้นมันเป็นฝันร้าย แต่ตอนนี้เรามองย้อนกลับไปแล้ว เราพบว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับ BMW”
นอกจากนี้ ปัจจุบัน ซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมรถยนต์มีความซับซ้อนมากขึ้น การพึ่งพาซัพพลายเออร์ต่างประเทศมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น ภาษีนำเข้าสูง หรือความไม่แน่นอนทางการค้า
ตัวอย่างเช่น:
- มาตรการภาษี 25% ของทรัมป์ อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐฯ
- การนำกระบวนการผลิต ECU กลับมาทำเอง ทำให้ BMW สามารถควบคุมคุณภาพและลดความเสี่ยงทางการค้าได้
อนาคตของ BMW กับ Heart of Joy
Heart of Joy ไม่ได้เป็นเพียงแค่กล่องดำเล็กๆ แต่เป็นหัวใจสำคัญของ BMW ในการ ก้าวเข้าสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่สูญเสียจิตวิญญาณของแบรนด์
💡 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของ BMW จะขับขี่สนุกขึ้น เสถียรขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น
💡 การพัฒนา ECU ภายในบริษัทเองทำให้ BMW สามารถออกแบบซอฟต์แวร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
💡 เทคโนโลยีใหม่นี้ยังช่วยให้ การอัปเดตซอฟต์แวร์ผ่าน OTA (Over-the-Air) ทำได้ง่ายขึ้น
หากประสบการณ์ที่ฉันได้รับจาก VDX เป็นตัวบ่งชี้อนาคต เราก็อาจได้เห็น BMW ยังคงครองตำแหน่ง “Ultimate Driving Machine” ในยุคของ EV ได้อย่างสง่างาม
แล้วคุณล่ะ? พร้อมสำหรับประสบการณ์ขับขี่ใหม่ของ BMW แล้วหรือยัง? 🚗⚡