วิธีเลือกซื้อคีย์แคปที่ดีที่สุดสำหรับคีย์บอร์ดแมคคานิคัลของคุณ

ผมเพิ่งอ่านบทความเจ๋งๆ จาก WIRED ที่เขียนโดย Henri Robbins เกี่ยวกับการเลือกคีย์แคป (keycaps) ให้คีย์บอร์ดแมคคานิคัล อ่านแล้วรู้สึกว่านี่มันคือคู่มือที่คนรักคีย์บอร์ดต้องมี เลยอยากหยิบมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนชวนเพื่อนคุยกัน ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มหรือกำลังหาของดีๆ มาปิดจ็อบคีย์บอร์ดในฝัน คีย์แคปนี่แหละที่เปลี่ยนทั้งลุคและฟีลลิ่งการพิมพ์ได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ

เริ่มจากอะไรก่อน?

สิ่งแรกที่ Robbins บอกคือ ต้องแน่ใจว่าคีย์แคปที่คุณเล็งไว้มัน “ใส่ได้” กับคีย์บอร์ดของคุณ ถ้าซื้อมาผิด อาจต้องทิ้งไว้เฉยๆ หรือผสมกับคีย์แคปเก่าให้ครบ คีย์บอร์ดสมัยใหม่ส่วนใหญ่ใช้สวิตช์แบบ MX ที่เป็นกากบาท ซึ่งคีย์แคปเกือบทุกชุดในท้องตลาดรองรับ แต่ถ้าเป็นคีย์แคปจากคีย์บอร์ดเก่า อาจไม่เข้ากันได้นะ

สวิตช์แบบอื่นที่เจอบ่อย เช่น Alps (ขีดลบเล็กๆ), Topre (วงกลม) หรือ Kailh Choc (สองง่าม) พวกนี้ใช้กับ MX ไม่ได้ ฉะนั้นดูดีๆ ก่อนซื้อ เขาจะเขียนชัดเจนในรายละเอียดสินค้า

ต่อมาคือเรื่องเลย์เอาต์ คีย์บอร์ดส่วนใหญ่มีมาตรฐานคล้ายๆ กัน แต่บางรุ่นอย่าง HHKB Studio มีปุ่ม G, H, B และสเปซบาร์ที่ไม่เหมือนใคร ชุดคีย์แคปปกติอาจไม่ครอบคลุม บางชุดมี “คิทพิเศษ” สำหรับเลย์เอาต์แปลกๆ ด้วย และสุดท้าย ดูว่าชุดที่ซื้อครบทุกปุ่มไหม เดี๋ยวนี้บางชุดแยกขายส่วน numpad หรือปุ่มลูกศรกับแถวฟังก์ชันเพื่อลดราคา ต้องเช็กให้ดี

รูปทรงคีย์แคป (Profile และ Sculpt)

หลังจากรู้ว่าอะไรใส่ได้แล้ว มาดูเรื่องทรงกันบ้าง รูปทรงนี่แหละที่กำหนดฟีลลิ่งการพิมพ์และความสบาย Robbins บอกว่าไม่มีชื่อมาตรฐานตายตัว ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต บางชื่อดูมีที่มา เช่น OSA (ผสม OEM กับ SA) บางชื่อก็ตลกๆ อย่าง PBS (Penguin Belly Slide)

ความสูงของคีย์แคปมีแบบสูง กลาง ต่ำ Cherry Profile ที่คนคุ้นเคยจะสูงประมาณ 9.8 มม. ถึง 7.3 มม. พิมพ์ได้โดยไม่ต้องมีที่วางข้อมือ แต่ถ้าเป็น SA Profile สูงสุดถึง 17 มม. ต่ำสุด 12.6 มม. ต้องใช้ที่วางข้อมือแน่นอน เสียงพิมพ์ก็ลึกกว่า

คีย์แคปบางแบบ เช่น Cherry และ SA จะมี “แถว” (R1-R4) ที่สูงและมุมต่างกัน ช่วยให้กดปุ่มแถวบนได้สะดวกขึ้น แต่บางคนชอบแบบ uniform ที่ทุกแถวเท่ากัน เช่น SA หรือ PBS หายากหน่อยแต่ก็มีให้เลือกเยอะ

ส่วน sculpt หรือรูปทรงหน้า คีย์แคปมีแบบ cylindrical (ร่องตัว U) กับ spherical (ร่องชาม) Keychron มักใช้ OSA แบบ spherical ส่วน Razer หรือ Corsair ใช้ Cherry หรือ OEM แบบ cylindrical

วัสดุแบบไหนดี?

วัสดุก็สำคัญไม่แพ้กัน Robbins เล่าถึงตัวเลือกยอดนิยม:

  • ABS: พลาสติกที่เจอบ่อยในคีย์แคปติดเครื่อง อย่าง GMK หรือ Signature Plastics คุณภาพดีมาก สีสันสดใส ทนทาน ฟีลลิ่งลื่น แต่ข้อเสียคือมันจะเงาหลังใช้ไปนานๆ บางคนไม่ชอบ บางคนมองเป็นเกียรติยศ เสียงพิมพ์แหลมหน่อย
  • PBT: คีย์แคปแบบคัสตอมมักใช้ PBT หนากว่า แข็งกว่า ผิวด้านกว่า ABS สีไม่สดเท่า แต่ทน ไม่เงาง่ายแม้ใช้เป็นสิบปี เสียงพิมพ์ทุ้มกว่า
  • Ceramic: น้องใหม่จาก Cerakey เสียงพิมพ์ลึกแบบหินอ่อน ฟีลลิ่งลื่น แต่เปราะง่าย (เดี๋ยวนี้ใช้ก้านพลาสติกแก้แล้ว)
  • Metal: ชุดโลหะราคาเริ่มที่ 200 ดอลลาร์ (ราว 6,600 บาท) หนักแน่น เสียงแหลม อาจต้องอัปเกรดสวิตช์หรือใส่ตัวลดเสียง Robbins ลองจาก NovelKeys กับ Awekeys เจอปัญหาความฟิต บางปุ่มหลวมจนหลุด ต้องใช้ค้อนปรับก้าน ฟีลลิ่งเย็นๆ ตอนแรก พออุ่นจากนิ้วก็เหมือนพลาสติก แต่กดแล้วคมชัดดี

การพิมพ์ตัวอักษร (Legends)

ตัวอักษรบนคีย์แคปเรียกว่า “legends” ส่วนตัวรองคือ “sub-legends” Robbins บอกว่ามันเพิ่มสไตล์ให้คีย์บอร์ด วิธีพิมพ์มีหลายแบบ:

  • Doubleshot: มาตรฐานทองคำ ตัวอักษรเป็นพลาสติกหล่อสองชั้น ไม่จางเลย คมชัด ทนทาน สีตัดกันสวย แต่ตัวเลือกฟอนต์น้อยและแพง ตอนนี้มีทั้ง ABS และ PBT
  • Tripleshot: เพิ่ม sub-legends สีต่าง หายากและแพงกว่า doubleshot มีแค่บางยี่ห้อ เช่น Domikey
  • Dye Sublimation: ยอดนิยมใน PBT ย้อมสีลงไปในเนื้อ ไม่ใช่ทาทับ ทนทาน สีสดใสได้ แต่สีต้องเข้มกว่าพื้นฐาน
  • Reverse Dye Sub: ย้อมทั้งปุ่มยกเว้นตัวอักษร ทำยาก บางชุดสวย บางชุดสีเพี้ยนหรือขอบเบลอ
  • UV Printing: พิมพ์สีสดหลายสีบน GMK จางง่ายหน่อย แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นเยอะ
  • Pad Printing: ถูกสุด ทาทับด้วยซิลิโคน จางไว เหมาะคีย์บอร์ดออฟฟิศ

ซื้อแบบไหนดี?

Robbins บอกมี 3 วิธีซื้อหลักๆ:

  • In-stock: มีของพร้อมส่ง สั่งปุ๊บได้เลย
  • Group Buy: รวมเงินสั่งจากโรงงาน เหมาะกับชุด limited แต่เสี่ยงถ้าเจอร้านไม่น่าเชื่อถือ
  • Preorder Extras: สั่งล็อตพิเศษหลัง group buy แพงกว่า แต่ได้ชุดที่พลาดไป

ราคาและร้านแนะนำ

ราคาขึ้นกับผู้ผลิต ชุด ABS จาก GMK หรือ Signature Plastics มักเกิน 100 ดอลลาร์ (3,300 บาท) คุณภาพสูงสุด PBT จาก EnjoyPBT ถูกกว่านั้น Robbins แนะร้านเด็ด เช่น Cannonkeys, Novelkeys, 21kb, Drop, Mekibo, Omnitype, และ Divinikey แต่ละร้านมีจุดเด่นต่างกันไป ลองดูที่ชอบเลย

15 กฎที่คุณควรรู้ก่อนไปญี่ปุ่น

“กฎ” ที่ควรรู้ก่อนไปเที่ยวญี่ปุ่น นี่คือคู่มือชั้นดีสำหรับคนที่อยากไปสัมผัสแดนปลาดิบโดยไม่พลาดท่า เลยอยากหยิบมาเล่าให้ฟังในแบบที่เข้าใจง่ายๆ

ญี่ปุ่นมีแนวคิดที่เรียกว่า hairyo หรือการใส่ใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง เป็นรากฐานของการอยู่ร่วมกันที่นั่น ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมแห่งความเคารพ แต่สำหรับคนต่างชาติอย่างเรา การจะเข้าใจกฎที่ไม่ได้เขียนไว้ชัดๆ เหล่านี้มันไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะเมื่อผู้อ่านเพิ่งโหวตให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกจาก Readers’ Choice Awards ปีนี้ Tokyo Halfie ที่เป็นทั้งนักชิมและนักเดินทางตัวยงเลยรวบรวม 15 ข้อสำคัญมาให้เราได้เตรียมตัว

1. ไปให้ถึงก่อนเวลา

ที่ญี่ปุ่น การตรงต่อเวลาไม่ใช่แค่เรื่องมารยาท แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวัง “ถึงทันเวลาคือถึงก่อน 5-10 นาที” โดยเฉพาะถ้าจองร้านอาหารไว้ ถ้าที่บ้านเราช้าไปหน่อยอาจไม่มีใครว่า แต่ที่นี่การมาสายคือการดูถูกกันชัดๆ วางแผนการเดินทางดีๆ และเผื่อเวลาไว้ด้วยนะ

2. รักษาความเงียบ

คนญี่ปุ่นชอบความสงบ ฉะนั้นในที่สาธารณะอย่างร้านอาหาร รถไฟ หรือที่ไหนก็ตาม พูดเบาๆ เข้าไว้ มันแสดงถึงความใส่ใจคนรอบข้าง อย่าคุยโทรศัพท์เสียงดังหรือทำอะไรให้วุ่นวาย จะได้รักษาบรรยากาศดีๆ ที่เขาถนอมกัน

3. เข้าใจ mottainai

mottainai คือการรู้คุณค่าทรัพยากร ไม่ให้อะไรสูญเปล่า ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เวลา หรือความพยายาม ลองสั่งอาหารแค่พอดี อย่าให้เหลือทิ้ง มันเหมือนการเคารพทั้งธรรมชาติที่ให้วัตถุดิบ ชาวนาที่ปลูก และเชฟที่ทำออกมา

4. มารยาทบนโต๊ะอาหาร

การกินข้าวที่ญี่ปุ่นมีกฎเยอะหน่อย นอกจากถึงให้ตรงเวลาและพูดเบาๆ แล้ว ถ้าจะถ่ายรูปอาหารต้องขออนุญาตเชฟก่อน อย่าวางโทรศัพท์ลงบนเคาน์เตอร์ร้านดีๆ เด็ดขาด (อาจขอบที่วางหรือพกมาเอง) ถ่ายแล้วต้องไว เพราะอาหารอร่อยสุดตอนเสิร์ฟใหม่ๆ ช้าไปเชฟอาจไม่ปลื้ม

เวลา kanpai (ชนแก้ว) ไม่ต้องชนจริง แค่ยกแก้วขึ้นก็พอ อย่าใส่น้ำหอมแรงๆ ด้วย กลิ่นอาจรบกวนรสชาติอาหารคนอื่น ส่วนตะเกียบ อย่าส่งอาหารให้กันด้วยตะเกียบหรือปักไว้ในข้าว และผ้า oshibori เอาไว้เช็ดมือเท่านั้น อย่าเช็ดหน้า พับให้เรียบร้อยหลังใช้ด้วย

5. ไม่ต้องทิป

ที่ญี่ปุ่นไม่มีการให้ทิป ค่าบริการรวมอยู่ในบิลแล้ว ถ้าอยากขอบคุณ สั่งเครื่องดื่มเพิ่มดีกว่า สิ่งสำคัญคือทัศนคติของคุณ เคารพเชฟ พนักงาน และคนอื่นๆ บนโต๊ะ มันทำให้ทุกคนกินข้าวกันได้แบบสบายใจ

6. มารยาทบนรถสาธารณะ

รถไฟ รถบัสที่นี่เงียบกริบ ต้องตั้งโทรศัพท์เป็นโหมดเงียบ ห้ามคุยโทรศัพท์หรือพูดดัง อย่ากินอะไรบนรถ ยกเว้นบนชินคันเซ็นที่คนมักซื้อ ekiben (ข้าวกล่องสถานีรถไฟ) มากินได้

ต่อแถวขึ้นรถต้องเป็นระเบียบ ปล่อยให้คนลงก่อนค่อยขึ้น บนบันไดเลื่อนอาจงงหน่อย เพราะที่โตเกียวคนยืนฝั่งซ้าย แต่ที่โอซาก้ายืนขวา ดูคนรอบๆ แล้วทำตามจะรอด

7. พกขยะกลับบ้าน

ถนนญี่ปุ่นสะอาดมาก แม้จะหาถังขยะยาก คนที่นี่พกขยะใส่ถุงพลาสติกไว้ ถ้าเจอถังก็แยกขยะให้ดี มีช่องสำหรับรีไซเคิลหลายแบบ ใส่ให้ถูกช่องด้วยล่ะ

8. กฎใน onsen

ก่อนลง onsen (บ่อน้ำพุร้อน) ต้องล้างตัวให้สะอาดที่ฝักบัว ห้ามใส่ชุดว่ายน้ำหรือเอผ้าขนหนูลงไปในบ่อ ต้องเปลือยทั้งตัวเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของน้ำ พูดเบาๆ ด้วยเพื่อให้ทุกคนผ่อนคลาย ถ้ามีรอยสักอาจต้องปิด เพราะบางที่ยังมองว่าเกี่ยวข้องกับยากูซ่า ขึ้นอยู่กับนโยบายแต่ละที่

9. ถอดรองเท้าในบ้าน

ก่อนเข้าบ้านหรือบางสถานที่ต้องถอดรองเท้า เพื่อรักษาความสะอาด มี genkan (ที่วางรองเท้า) ให้จัดวางเรียบร้อย ถ้าใส่รองเท้าแตะมา พกถุงเท้าสะอาดไปเปลี่ยนด้วย อย่าวางกระเป๋าบนโต๊ะด้วย มันไม่สะอาด เขามักมีที่แขวนกระเป๋าให้

10. เคารพพื้นที่ส่วนตัว

คนญี่ปุ่นให้ค่ากับพื้นที่ส่วนตัวมาก การกอดไม่ค่อยมี โดยเฉพาะกับคนไม่สนิทอาจทำให้เขาอึดอัด ไม่จับมือกันด้วย แค่โค้งคำนับก็พอ การแสดงความรักในที่สาธารณะก็ไม่ค่อยเห็น อาจดูไม่เหมาะสม

11. ปฏิบัติตามกฎจราจร

ญี่ปุ่นเน้นระเบียบ แม้แต่เรื่องจราจร ห้ามเดินข้ามถนนนอกทางม้าลาย เห็นคนยืนรอสัญญาณไฟเขียวทั้งที่รถไม่มีเลยก็เยอะ ทำตามเขาดีกว่า รอไฟเขียวแล้วค่อยข้าม

12. เคารพวัดและศาลเจ้า

วัดพุทธและศาลเจ้าชินโตไม่ใช่แค่ที่เที่ยว แต่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีธรรมเนียมต่างกันไป เคารพด้วยการล้างมือที่จุดชำระก่อนเข้า และโค้งคำนับตามพิธี ดูป้ายเรื่องถ่ายรูปดีๆ อย่าทำอะไรวุ่นวายให้เสียความสงบ

13. แต่งตัวให้เหมาะสม

ญี่ปุ่นมีแนวคิด TPO (Time, Place, Occasion) คือแต่งตัวและทำตัวให้เหมาะกับกาลเทศะ โดยเฉพาะที่เป็นทางการ แต่งเรียบร้อยหน่อย ชุดโป๊เกินไป เช่น กระโปรงสั้นจู๋ เสื้อคอลึก หรือผ้าโปร่ง อาจดูแปลกตานอกเขตแฟชั่น

14. รับนามบัตรอย่างใส่ใจ

นามบัตรคือตัวแทนของคน รับด้วยสองมือ ดูให้ดีก่อนเก็บ ในที่เป็นทางการ วางบนกล่องนามบัตรเหมือนวางบนหมอน zabuton แสดงถึงความเคารพ แม้แต่เชฟให้หลังกินข้าวก็ทำแบบนี้

15. อ่านระหว่างบรรทัด

คนญี่ปุ่นพูดแบบอ้อมๆ ต้องตีความเอา เช่น แทนที่จะบอก “ไม่” ตรงๆ เขาอาจพูดว่า “ยากหน่อย” หรือ “ไว้ครั้งหน้า” ซึ่งแปลว่าปฏิเสธ เข้าใจ honne (ความรู้สึกจริง) กับ tatemae (หน้าฉาก) จะช่วยให้อยู่ด้วยกันได้แบบไม่ขัดแย้ง

รีวิว Fujifilm GFX100RF: เซนเซอร์เดียวที่ให้กล้องถึงเก้าตัว

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 David Imel เขียนรีวิวกล้อง Fujifilm GFX100RF ลงในเว็บไซต์เทคโนโลยีชื่อดัง และผมที่เป็นคนชอบกล้องอยู่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมาเล่าให้ฟัง เพราะกล้องตัวนี้ไม่ใช่แค่ X100VI ที่ขยายร่าง แต่เป็นกล้องฟอร์แมตกลางที่ Fujifilm ออกแบบมาให้ยืดหยุ่นแบบสุดๆ ด้วยแนวคิด “หนึ่งเซนเซอร์ เก้ากล้อง” ที่น่าสนใจมาก

Imel เริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบกับคำพูดของ Greg Joswiak จาก Apple ตอนเปิดตัว iPhone 15 Pro ที่บอกว่ากล้องสามตัวในนั้นเหมือนมีเลนส์เจ็ดตัวในกระเป๋าคุณ แนวคิดนี้ดูเหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้ Fujifilm นำมาปรับใช้กับ GFX100RF คล้ายๆ กัน ด้วยเลนส์ 35mm ติดตายตัว บนบอดี้ที่หน้าตาคล้าย X100VI ซึ่งเป็นกล้องยอดฮิต แต่แทนที่จะจำกัดให้คุณถ่ายในกรอบแคบๆ แบบกล้องเลนส์ตายตัวทั่วไป GFX100RF กลับเน้นความยืดหยุ่น ใช้เซนเซอร์ 102MP ความละเอียดสูง ปุ่มเลือกอัตราส่วนภาพแบบใหม่ และโหมด “ซูม” ดิจิทัลสี่แบบ เพื่อทดแทนกล้องเก้าตัวและเลนส์สี่ตัวในร่างเดียวที่พกพาง่าย

กล้องฟอร์แมตกลางที่เล็กที่สุดของ Fuji

GFX100RF เป็นกล้องฟอร์แมตกลางที่เล็กที่สุดของ Fujifilm ใช้เซนเซอร์เดียวกับรุ่นท็อป GFX100II ราคาอยู่ที่ 4,900 ดอลลาร์ (ราว 162,000 บาท) มาพร้อมปุ่มควบคุมแบบอนาล็อกที่แฟน Fuji ชอบ และสีสันที่สวยจัดตามสไตล์แบรนด์ ถ้าคุณรักการถ่ายภาพด้วยกล้อง Fujifilm ตัวนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน

จุดเด่นที่แตกต่างคือ “ปุ่มเลือกอัตราส่วนภาพ” ที่ด้านหลังกล้อง Imel บอกว่าเขาตื่นเต้นมาก เพราะมันให้คุณเลือกได้ถึง 9 รูปแบบ เช่น 4:3, 3:2, 16:9, 17:6, 3:4, 1:1, 7:6, 5:4 และที่เขาชอบที่สุดคือ 65:24 ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากกล้องฟิล์ม TX-1 รุ่นดังของ Fuji “คนที่ยังถ่ายกล้องฟิล์มเก่าๆ อย่างผมเห็นแล้วฟินมาก” เขาว่า การมีปุ่มนี้ทำให้การถ่ายรูปสนุกขึ้นเยอะ ตอนเขาไปลองที่ยูทาห์ เขาเปลี่ยนอัตราส่วนไปมา บางช็อตที่ดูธรรมดาในโหมด 4:3 กลายเป็นภาพเจ๋งๆ เมื่อเจอครอปที่เหมาะสม

ถึงจะครอปเยอะ โดยเฉพาะในโหมด 65:24 ที่เหลือ 50MP แต่ไฟล์ก็ยังใหญ่พอใช้ และถ้าถ่าย RAW คู่กับ JPG ใน Lightroom คุณยังปรับกลับไปดูภาพเต็ม 4:3 ได้ด้วย “ผมชอบฟีเจอร์นี้มาก” Imel บอก

ความยืดหยุ่นจากเซนเซอร์ใหญ่

เซนเซอร์ความละเอียดสูงยังมีลูกเล่นเพิ่ม กล้องมีโหมด “ซูม” ดิจิทัล 4 แบบ คือ 35mm, 45mm, 63mm และ 80mm (เทียบเท่า 28mm, 35mm, 50mm และ 63mm ในฟูลเฟรม) โดยครอปจากตรงกลางเซนเซอร์ แน่นอนว่ายิ่งซูมมาก ความละเอียดก็ลดลง เช่น โหมด 80mm ครอปแบบ 65:24 จะได้ไฟล์ 9MP Fuji ใส่สวิตช์ซูมเล็กๆ ที่ด้านหน้าเหมือนกล้องวิดีโอเก่า และมีปุ่มหมุนปรับแต่งได้ด้านบน ซึ่งแปลกหน่อยที่ของ Imel ไม่ได้ตั้งค่าไว้ให้ใช้ตั้งแต่แรก

ผมว่ามันเหมือน Fuji ตั้งใจให้กล้องตัวนี้ทำได้ทุกอย่าง แตกต่างจากกล้องเลนส์ตายตัวทั่วไป แต่ก็มีข้อจำกัดสองอย่างที่ชัดเจน คือ รูรับแสง f/4 ที่ค่อนข้างแคบ และไม่มีระบบกันสั่นในตัว

ข้อจำกัดที่ต้องรู้

รูรับแสง f/4 ในฟอร์แมตกลาง เทียบเท่า f/3.16 ในฟูลเฟรม “ไม่แย่นะ แต่ผมรู้สึกว่ามันจำกัด” Imel บอก รูรับแสงแคบทำให้แสงเข้าน้อย ต้องเพิ่ม ISO หรือลดความเร็วชัตเตอร์ ถ้าเทียบกับ X100VI ที่มีกันสั่นในตัว เขาถ่ายมือถือได้ถึง 1 วินาที แต่กับ GFX100RF ช้าสุดที่ถ่ายได้แบบไม่สั่นคือ 1/30 หรือ 1/15 ถ้ามือแน่นจริงๆ “ผมพกขาตั้งกล้องตลอดเลยไม่ค่อยซีเรียส แต่ Fuji โปรโมตว่านี่คือกล้องใช้ทุกวัน ถ้าไม่มีเลนส์ไวหรือกันสั่น ถ่ายแสงน้อยลำบากแน่เว้นแต่ยอมใช้ ISO สูงๆ” เขาแก้ปัญหาด้วยการใช้โหมด Acros ขาวดำ ที่เกรนสวยอยู่แล้ว

Imel คิดว่า Fuji คงยังไม่มีระบบกันสั่นที่เล็กพอใส่ในบอดี้ที่ใกล้เคียง X100VI และด้วยราคา 162,000 บาท ซึ่งถูกกว่ารุ่น GFX อื่นๆ พร้อมเลนส์ในตัว มันก็สมเหตุสมผลอยู่ แต่เขางงว่าทำไมถึงเลือก f/4 “ตัวเลนส์เล็กมากเมื่อเทียบกับเลนส์ GF อื่นๆ แต่พอใส่ฮูดและวงแหวนกรองที่แถมมา ขนาดรวมๆ ใหญ่เท่าเลนส์ Leica Q3 เลย ถ้างั้นทำเลนส์ใหญ่กว่านี้ให้ไวขึ้นไม่ได้เหรอ?”

เทียบกับ Leica Q3

GFX100RF ถูกเอาไปเทียบกับ Leica Q3 กล้องฟูลเฟรมเลนส์ตายตัวแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ถ้าอยากได้กล้องแบบนี้ที่ทันสมัยหน่อย Q3 แทบจะเป็นตัวเลือกเดียว Fuji ชนะด้วยปุ่มอัตราส่วนภาพและความละเอียดสูง แต่ Leica กลับมาสู้ด้วยเลนส์ f/1.7 ที่ไวมากและมีกันสั่น “คุณชอบแบบไหนขึ้นอยู่กับว่าคุณถ่ายอะไร แต่ดีใจที่มีตัวเลือกเพิ่มในตลาด” Imel ว่า

ความรู้สึกหลังลองใช้

“ผมชอบกล้องตัวนี้มาก” เขาสรุป “การปรับทุกอย่างในกล้องก่อนถ่ายมันสนุกจริงๆ ผมชอบปุ่มหมุนแบบอนาล็อกอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้มันทำได้ทุกอย่างจริงๆ ต้องมีขาตั้งกล้องด้วย” อ่านแล้วผมรู้สึกว่านี่เป็นกล้องที่เหมาะกับคนที่อยากได้ความยืดหยุ่นในร่างกะทัดรัด แต่ถ้าคุณเน้นถ่ายแสงน้อยแบบไม่พกขาตั้ง อาจต้องคิดหนักหน่อย

The White Lotus: คู่มือชั้นเลิศเรื่องจิตวิทยาแห่งแฟชั่นรีสอร์ต

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2568 Paul Jebara เขียนบทความที่น่าสนใจลงในนิตยสารท่องเที่ยวชื่อดัง และผมอดไม่ได้ที่จะหยิบมาเล่าให้ฟัง เพราะถ้าคุณเคยดู The White Lotus ซีรีส์สุดฮิตจาก HBO คุณคงรู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องราวดราม่าของคนรวยในรีสอร์ตหรู แต่ยังเป็นคู่มือแฟชั่นที่บอกเล่าตัวตนของตัวละครผ่านเสื้อผ้าได้อย่างน่าทึ่ง ครั้งนี้ Jebara ได้ชวน Alex Bovaird ดีไซเนอร์คอสตูมของเรื่องมาคุยกันถึงเสื้อเชิ้ตคอแคมป์ Tanya McQuoid และแบรนด์ Tombolo ในฉากใหม่ที่ประเทศไทย

จากกระเป๋าเดินทางสู่ตัวตน

ถ้าจะบอกว่าเสื้อผ้าบอกเล่าเรื่องราวของคนได้ดีแค่ไหน ลองนึกถึง Tanya McQuoid ที่รับบทโดย Jennifer Coolidge ในซีซั่นแรก เธอลงจากเครื่องบินด้วยชุดลายลิงสีม่วงส้มที่สะดุดตาไม่แพ้ตอนจบอันน่าสะเทือนใจของเธอเลย ตลอดสามซีซั่น Alex Bovaird ทำให้ The White Lotus กลายเป็นเหมือนตำราแฟชั่นรีสอร์ตที่ต้องดู เสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุม หมวกกันแดดใบโต หรือชุดคาฟตานสุดอลังของ Tanya (ขอให้ไปสู่สุขคติ) ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่เป็นเหมือนตัวละครที่สปอยล์นิสัยของผู้สวมใส่ได้ตั้งแต่แรกเห็น คราวนี้จากดราม่าท่ามกลางแสงแดดของซิซิลี เรื่องราวย้ายมาที่ประเทศไทยที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายจิตวิญญาณ ผมเลยอยากรู้ว่า Bovaird สร้างลุคให้ตัวละครยังไง เลยตามไปฟังคำตอบจากเธอ

เส้นทางสู่ดีไซเนอร์คอสตูม

Bovaird เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของเธอ “หลังเรียนจบที่อังกฤษ ฉันไปเที่ยวเอเชีย แล้วมันจุดประกายให้ฉันหลงรักโลกที่แตกต่าง พอย้ายไปสหรัฐตอนอายุ 21 ฉันเริ่มสนใจหนังจากการทำงานในวงการแฟชั่น ได้เจอทั้งคนครีเอทีฟและนักธุรกิจ จนวันหนึ่งรู้ว่ามีงานฝึกหัดด้านคอสตูมดีไซน์ในหนังย้อนยุคที่นิวยอร์ก ชื่อ Cadillac Records ที่มี Adrien Brody กับ Beyoncé ฉันสมัครทันที วันแรกที่ได้วิ่งไปทั่วเมือง หาของ ทำงานกับทีมสร้างเวทมนตร์บนจอ ฉันติดใจเลย การได้เห็นผลงานตัวเองมีชีวิตบนจอหลังจากนั้นหนึ่งปีมันสุดยอดมาก”

ก่อนหน้าซีซั่นสามของ The White Lotus เธอเพิ่งทำงานใน True Detective: Night Country ซึ่งเปลี่ยนจากชุดลายดอกในเขตร้อนไปเป็นชุดตำรวจและขนสัตว์ของชาว Inupiaq “มันต่างกันสุดขั้ว แต่ทุกโปรเจกต์มีโลกของมันเอง ฉันเริ่มจากการวิจัย รวบรวมไอเดียและภาพ แล้ววางแผนหาของ ชีวิตจริงคือแรงบันดาลใจที่ดีที่สุด ทุกคนมีสไตล์ของตัวเอง งานทุกชิ้นช่วยให้ฉันจินตนาการได้ดีขึ้นว่า ตัวละครจะใส่อะไรใน The White Lotus เราใส่ตรรกะลงไปเสมอว่า พวกเขาจะแพ็กอะไรไป? วางแผนยังไงสำหรับหนึ่งสัปดาห์—กินข้าว ริมสระ หรือผจญภัย?”

แฟชั่นรีสอร์ตที่เปลี่ยนไป

จากฮาวาย ซิซิลี มาถึงไทย แฟชั่นในแต่ละที่ก็มีกลิ่นอายต่างกัน Bovaird บอกว่า “ที่ฮาวาย หนีไม่พ้นลาย Aloha บรรยากาศชิลๆ ส่วนอิตาลี เราใส่ของที่ตัวละครช้อปมาในลุค เพราะคนอเมริกันส่วนใหญ่ชอบช้อปที่นั่น แล้วมื้อเย็นก็ดูเป็นทางการขึ้น ไทยยังคงมีเสน่ห์ของตัวเอง เสื้อลินิน ของจากตลาดท้องถิ่น และชุดที่รับมือกับความร้อนได้ แต่ทั้งสามซีซั่นมีจุดร่วมคือ การแต่งตัวเพื่อสร้างความประทับใจ และเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่กล้าแสดงออกมากกว่าปกติ”

เธอเล่าถึงการหาของในไทยว่า “เราเก็บของจากทั่วโลก อังกฤษ สหรัฐ อิตาลี ส่งไปกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสวรรค์ของห้างเลย พอถึงที่นั่นก็ช้อปต่อ ทั้งแบรนด์หรูและของพื้นๆ จากตลาดท้องถิ่น ซื้อผ้าไหมไทย ผ้าบุโบราณ และทำชุดเองในทีม คลังของเราโตขึ้นเรื่อยๆ จนไปฟิตติ้งที่เกาะสมุย”

การเลือกแบรนด์และสไตล์

Bovaird มีแบรนด์โปรดที่ใช้ประจำ เช่น LunaFlo London, Poupette Saint Barth และแว่น Oliver Peoples “มันจับอารมณ์ของเรื่องได้ดี ชิค สนุก เท่” เธอยังชอบ Tombolo ที่มีอารมณ์ขันในดีไซน์ “เราใช้ของเขาตั้งแต่ซีซั่นสองในฉากบีชคลับ พอซีซั่นสามเลยคุยกันตั้งแต่แรก ทำยูนิฟอร์มพิเศษให้ ‘สปาบัตเลอร์’ ในวิลล่า ชุดคาบาน่าของ Tombolo เข้ากับตัวละครมาก ทีมเขาน่ารักสุดๆ ช่วยเราทั้งเรื่องผลิตและส่งของในเวลาที่จำกัด”

เธอตั้งใจให้ชุดบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของตัวละคร “เราคิดเยอะมาก ถึงจะมีสไตล์อลังการแบบ White Lotus แต่ก็คำนึงถึงนิสัยการช้อปของตัวละคร เขาอยากโชว์อะไร? แต่งขึ้นหรือลง?” Tanya เป็นตัวละครที่เธอชอบแต่งให้มาก “Jennifer Coolidge ทำให้ลุคนั้นมีชีวิตจริงๆ” และในซีซั่นสาม เธอหลงรัก Fabian ที่รับบทโดย Christian Friedel

เก่าใหม่ในโลกของเงิน

ในไทย ความแตกต่างระหว่างเงินเก่าและเงินใหม่ก็เด่นชัด “Mike White เสียดสีสังคมกลุ่มนี้ เลยให้แขกส่วนใหญ่โชว์ความรวยแบบชัดเจน ไม่เน้น quiet luxury แต่เป็น luxury ที่ดังและครึกครื้น ตัวละครเงินเก่าบางคนอาจไม่ใช้เสื้อผ้าแพง แต่เราทำให้ดูมีที่มา เน้นที่เครื่องประดับและรายละเอียดเล็กๆ ที่มีเรื่องราว หมวกสำคัญมากในไทย แม้ช่างภาพจะชอบให้ถอดออกจากกล้องบ่อยๆ!”

อิทธิพลในชีวิตจริง

ผมถามว่าเห็นคนในรีสอร์ตจริงๆ เลียนแบบสไตล์ The White Lotus ไหม เธอบอก “ในรีสอร์ตห้าดาวจริงๆ สไตล์เรียบง่ายกว่านี้เยอะ เราไม่ใส่กางเกงวอร์มหรือยีนส์ และคุณจะเห็นส้นสูงในบาร์บีคิวริมชายหาดของเรา ซึ่งชีวิตจริงไม่มีแน่ เราทำเพื่อโชว์ เพื่อความสนุก แต่ตอนเตรียมซีซั่นสาม เราเห็นเสื้อเชิ้ตคอแคมป์ ลายทรอปิคัล และสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนกลับมาฮิต ความสนุกของเรื่องมันติดคนได้จริงๆ ฉันเพิ่งทำคอลเลคชั่น 25 ชิ้นกับ H&M ออกวันที่ 20 กุมภาพันธ์ มีเดรสสไตล์ 60s ชุดโครเชต์โบโฮ และคาฟตานที่ใส่ได้ตั้งแต่สระว่ายน้ำยันดินเนอร์ มันน่าสนใจที่ได้ถ่ายทอดแฟชั่นจากเรื่องสู่ชีวิตจริง”

เคล็ดลับจากดีไซเนอร์

สุดท้าย เธอฝากทิปส์ว่า “แต่งตัวเหมือนที่คุณฝันไว้ กล้าสักหน่อย ลองอะไรใหม่ๆ สนุกกับสีสัน ทิ้งความน่าเบื่อไว้บ้าน และเผื่อที่ในกระเป๋าสำหรับช้อปของท้องถิ่น!” ผมว่าถึงจะไม่มีปัญหาแบบในเรื่องให้ต้องวิ่งหนี ส้นสูงอาจไม่จำเป็น แต่รองเท้าสบายๆ คู่หนึ่งก็น่าจะดีเหมือนกันนะ

เลิกนับประเทศที่คุณไปกันเถอะ: ข้อคิดจากบทสนทนาที่น่าสนใจ

เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมไปเจอบทความหนึ่งในนิตยสารท่องเที่ยวออนไลน์ เขียนโดย Charlie Hobbs เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 เป็นการรวมตัวคุยกันของทีมบรรณาธิการเกี่ยวกับกระแส “การนับประเทศ” หรือ country counting ที่กำลังฮิตใน Instagram อ่านไปแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจดี เลยอยากหยิบมาเล่าให้ฟังในมุมมองของผมที่ได้อ่านเจอเรื่องนี้

บทความนี้เริ่มจาก Matt Ortile บรรณาธิการร่วมที่บอกว่า เทรนด์นับประเทศนี่มัน “เอาท์” ไปแล้วสำหรับปี 2568 การนับประเทศที่ว่านี้คือการที่คนโพสต์ลิสต์ประเทศที่ตัวเองเคยไปในสตอรี่หรือไบโอ Instagram พร้อมติ๊กถูกข้างๆ หรือบางคนใส่ตัวเลขเลยว่า “ไปมาแล้ว 59 ประเทศ” แถมด้วยอิโมจิธงชาติต่างๆ ทีมงานชวนกันถกว่านี่มันดูเหมือนเป็นแค่การอวด หรือทำให้การเดินทางกลายเป็นลิสต์งานที่ต้องเคลียร์ แทนที่จะเป็นประสบการณ์ที่มีความหมาย

มันคืออะไรกันแน่?

Matt อธิบายว่า การนับประเทศคือการนับว่าคุณ “เคยไป” ที่ไหนบ้าง เขาไม่ชอบที่มันดูเหมือนการกวาดทุกอย่างให้ครบ แทนที่จะค่อยๆ ซึมซับ “มันเหมือนโชว์ว่าคุณไปไหนมาแล้ว แทนที่จะเล่าเรื่องราวจากที่นั่น หรือสัมผัสว่าการเป็นผู้มาเยือนมันหมายถึงอะไร” เขายกตัวอย่างคนที่บอกว่า “ไปกาตาร์มาแล้ว” แต่พอถามต่อ ปรากฏว่าแค่แวะสนามบิน “แบบนี้นับได้เหรอ?” Matt ตั้งคำถาม ซึ่งผมเองก็เริ่มสงสัยเหมือนกัน

Charlie ที่เป็นคนนำการคุย ถามทุกคนในทีมว่า “เคยโพสต์นับประเทศใน Instagram ไหม?” ทุกคนตอบว่า “ไม่” แต่เห็นคนอื่นทำบ่อย Jamie Spain บอกว่าเห็นบ่อยในกลุ่มคนทำคอนเทนต์ท่องเที่ยว “แบบ ‘ไปแล้ว 150 ประเทศ!’ มันบอกว่าคุณเดินทางเยอะ แต่ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับที่ที่ไป” ส่วน Emily Adler โยนคำถามกลับว่า “Instagram มันก็ตื้นเขินอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ซึ่ง Megan Spurrell เห็นด้วย แต่บอกว่า “การนับประเทศมันยิ่งตอกย้ำปัญหา มันทำให้คนมองว่าการเดินทางเป็นแค่การบอกคนอื่นว่าทำได้ แทนที่จะทำเพื่อตัวเอง”

การติ๊กถูกทำให้หมดสนุก?

Megan บอกต่อว่า “การนับแบบนี้มันตัดความหลากหลายของสถานที่ออกไป บางคนไปโตเกียวครั้งเดียวแล้วบอกว่า ‘ฉันไปญี่ปุ่นแล้ว’ แต่ญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่โตเกียว ถ้าคุณไปที่อื่น คุณจะเห็นอะไรที่ต่างออกไป” Charlie เสริมว่า “พอติ๊กถูกแล้ว มันเหมือนจบ แต่การเดินทางมันควรทำให้คุณอยากกลับไปอีก” อ่านตรงนี้แล้วผมเห็นภาพเลย บางทีการติ๊กถูกอาจทำให้เรามองข้ามความสวยงามของการไปซ้ำที่เดิม

Jamie เล่าถึง Matt ที่ไปปารีสหลายครั้ง “แต่ละครั้งมันไม่เหมือนเดิม เพราะเมืองเปลี่ยน คุณเปลี่ยน” Megan ก็แชร์ว่า “ตอนนี้ฉันอายุ 30 ต้นๆ กลับไปที่ที่เคยไปตอน 20 ต้นๆ มันต่างไปเลย เพราะฉันเห็นโลกมากขึ้น” Kat Chen เพิ่มว่า “บางคนนับเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ แต่พอคุยจริงๆ กลับได้แค่เรื่องผิวเผิน อย่างคนไปไต้หวันแล้วอวดว่าไปที่ ‘แปลกใหม่’ แต่ไม่ได้สัมผัสอะไรจริงๆ”

แล้วนับรัฐในสหรัฐฯ ล่ะ?

Emily ถามต่อว่า “ถ้าเป็นการนับรัฐในสหรัฐฯ ล่ะ มันต่างไหม?” Charlie เห็นด้วย “มันเหมือนซูมเข้าไปในประเทศเดียว อาจทำให้คนสนใจที่ที่ถูกลืม” Matt บอกว่า “นับ 50 รัฐมันต่างจริงๆ ผมเคยคุยกับคนที่บอกว่า ทุกรัฐในสหรัฐฯ มีโรงไวน์ ลองนึกภาพไปชิมไวน์ที่เซาท์ดาโกตา อลาสก้า ฮาวายสิ มันเจ๋งกว่า” Jamie เล่าเสริมว่า “เพื่อนเราคนหนึ่งวิ่งฮาล์ฟมาราธอนครบทุกรัฐ ตอนนี้ได้ 15 รัฐแล้ว” Matt ชอบไอเดียนี้ “มันเหมือนโปรเจกต์ตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่ตัวเลข”

การเดินทางที่มากกว่าตัวเลข

Megan ปิดท้ายว่า “ตอนเด็กๆ ครอบครัวฉันไม่ค่อยได้ไปไหนไกล พอเริ่มเที่ยวเอง ฉันตื่นเต้นที่ได้ไปที่ใหม่ๆ บางทีคนที่นับอาจแค่ภูมิใจที่ได้ออกไปเห็นโลก ฉันแค่อยากให้มันไม่ต้องกลายเป็นการแข่งขัน” อ่านจบแล้วผมรู้สึกว่า การนับประเทศมันอาจดูสนุกในแวบแรก แต่ถ้าคิดดีๆ มันทำให้การเดินทางกลายเป็นแค่ตัวเลข แทนที่จะเป็นความทรงจำหรือเรื่องราวที่เราจะเล่าต่อได้

คุณล่ะ อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกยังไง? ผมว่าเราน่าจะลองมองการเดินทางในมุมใหม่กันบ้างนะ

รีวิว Sigma BF: กล้องในฝันของคนรักความมินิมอล

เมื่อพูดถึงกล้อง Sigma BF รุ่นใหม่ราคา 2,000 ดอลลาร์ (ราว 66,000 บาท) สิ่งแรกที่ผมนึกถึงคือรายการฟีเจอร์ที่มัน “ไม่มี” มากกว่าสิ่งที่มันมี ไม่มีหน้าจอพับได้ ไม่มีช่องต่อ hot shoe หรือ cold shoe ไม่มีช่องมองภาพ ไม่มีชัตเตอร์กลไก ไม่มี 4K 60fps ไม่มีพอร์ตไมโครโฟน ไม่มีระบบกันสั่นในตัว แถมยังไม่มีช่องสำหรับร้อยสายคล้องไหล่ด้วยซ้ำ ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้กล้องแบบ “ครบเครื่อง” อย่างผม การปล่อยวางฟีเจอร์เหล่านี้มันยากจริงๆ

แต่ผมอยากให้คุณลองเปิดใจดู หลังจากได้ใช้ Sigma BF มาสองสามสัปดาห์ ผมต้องยอมรับว่ามันชนะใจผมได้ ด้วยดีไซน์ที่กล้าแตกต่าง ระบบควบคุมที่ฉลาด ซอฟต์แวร์ที่สะอาดตา และภาพถ่ายที่ออกมาสวยจนน่าทึ่ง มันอาจต้องใช้เวลาปรับตัวหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มค่าจริงๆ

ดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร

Sigma BF ไม่ใช่กล้องที่คุณจะเห็นหน้าตาแบบนี้บ่อยๆ ตัวกล้องถูกแกะสลักจากอะลูมิเนียมชิ้นเดียว ทำให้ดูเรียบหรูและทันสมัยสุดๆ ปุ่มควบคุมมีแค่นิดเดียว ซึ่งทำให้ใช้งานง่ายจนน่าประหลาดใจ คุณพกมันไปได้เกือบทุกที่ ตราบใดที่จุดหมายของคุณไม่ใช่งานระดับสตูดิโอหรือถ่ายวิดีโอแบบจริงจัง เพราะผมมองไม่เห็นตัวเองหยิบกล้องตัวนี้ไปใช้ในงานแบบนั้นเลย แต่ถ้าคุณอยากได้กล้อง point-and-shoot ระดับไฮเอนด์ที่ให้ผลลัพธ์ดีๆ โดยไม่ต้องคิดเยอะ Sigma BF ตอบโจทย์มาก

ตัวกล้องมีดีไซน์มินิมอลแบบสุดโต่ง ขอบคมและเหลี่ยมชัดเจน มันไม่ได้จับถนัดมือมากนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเจ็บ การใช้มือเดียวลำบากอยู่บ้าง และการที่ไม่มีช่องร้อยสายคล้องไหล่ที่สองนี่น่าหงุดหงิดนิดหน่อย Sigma อยากให้คุณใช้สายคล้องข้อมือ แต่ผมว่ามีตัวเลือกให้ทั้งสองแบบจะดีกว่า คุณอาจต่อสายเข้ากับช่อง tripod ได้ แต่ผมว่าแปลกๆ และดูเกินไปหน่อย

การควบคุมที่ฉลาดและสนุก

ผมชอบที่ Sigma ตัดวงแหวนควบคุมหลายๆ อันออกไป แล้วเหลือแค่วงเดียวที่ด้านหลัง มันกลายเป็นหัวใจของการใช้งานกล้องตัวนี้เลย เมื่อใช้คู่กับจอเล็กทรงแคปซูลด้านบน คุณสามารถเลื่อนเปลี่ยนการตั้งค่าได้ทันที ผมแอบอยากให้เลือกได้ว่าจะตัดตัวเลือกไหนออกบ้าง เพราะบางอันผมไม่ค่อยได้ใช้ แต่ข้อดีคือมันทำให้ผมลองเล่นอะไรใหม่ๆ เช่น อัตราส่วนภาพหรือโหมดจำลองฟิล์มบ่อยขึ้น มันเหมือนถูกบังคับให้ลองมุมมองใหม่ๆ และนั่นทำให้การถ่ายรูปสนุกขึ้นเยอะ

ที่เด็ดกว่านั้นคือ ถ้ากดชัตเตอร์ครึ่งหนึ่ง วงแหวนนี้จะเปลี่ยนไปควบคุมการชดเชยแสงทันที ปรับแสงได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องละสายตาจากช็อต เป็นลูกเล่นที่ฉลาดและใช้ได้จริง ปุ่มอื่นๆ ก็มีทีเด็ดเหมือนกัน เช่น ถ้าคุณแตะปุ่มดูภาพค้างไว้ มันจะโชว์ภาพล่าสุดจนกว่าคุณจะยกนิ้วออก เป็นฟีเจอร์ทันสมัยที่เข้ากับความเรียบง่ายของกล้องมาก

เรื่องความเร็วก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เปิดกล้องปุ๊บใช้งานได้ทันที เปลี่ยนโหมดไว อ่านข้อมูลจากเซนเซอร์เร็ว ถ่ายต่อเนื่องก็โอเคสำหรับกล้องฟูลเฟรม เข้าถึงคลังภาพก็ลื่นไหลไม่สะดุด

หน่วยความจำและข้อจำกัด

ภาพทั้งหมดดูได้บนหน้าจอ 3.2 นิ้วที่ใหญ่ สว่าง และคมชัดพอใช้ เก็บไว้ใน SSD ภายในตัวกล้องขนาด 230GB แต่ไม่มีช่องใส่การ์ดหน่วยความจำเพิ่มเติม คุณเลยต้องคอยสำรองข้อมูลบ่อยๆ และระวังอย่าให้เต็ม ผมไม่ซีเรียสเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่กังวลว่าถ้า SSD เสียขึ้นมาจะทำยังไง

ผมจะเข้าใจการตัดสินใจนี้มากกว่านี้ถ้า Sigma มีแอปสมาร์ทโฟนดีๆ สำหรับโอนภาพ แต่ไม่มีทั้งแอปและช่อง SD คุณต้องใช้สายเคเบิลอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นจุดตายสำหรับคุณหรือเปล่า ผมว่าเราคงเห็นตรงกันว่ากล้องในปี 2025 ควรมีทั้งหน่วยความจำในตัวและช่องขยายได้

คุณภาพภาพถ่ายที่ยอดเยอะ

ภาพจาก Sigma BF สวยสมกับเป็นกล้องฟูลเฟรม คมชัด มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยรายละเอียด ผมใช้เลนส์ Sigma 50mm F/2 รุ่นอัปเดตมาคู่กับกล้องตัวนี้ ซึ่งเข้ากันได้ดีมาก แม้ในที่แสงน้อย เสียงรบกวนจาก ISO สูงก็จัดการได้ดี เกรนที่ออกมานุ่มนวลเหมือนฟิล์ม โดยเฉพาะเมื่อใช้โหมดจำลองฟิล์มของ Sigma

กล้องมีโหมดจำลองฟิล์ม 13 แบบ ซึ่งน่าจะเพียงพอให้ทุกคนเจอสไตล์ที่ชอบ ผมติดใจ Warm Gold, Teal & Orange และ Rich โดยเฉพาะ Warm Gold ที่ให้โทนอุ่น แดงนวลๆ และสีที่ลดความอิ่มลง น่าเสียดายที่ยังปรับแต่งโหมดเองไม่ได้ ตรงนี้รู้สึกเหมือนพลาดโอกาส เพราะ Fujifilm สร้างชุมชนช่างภาพจากโหมดฟิล์มที่แชร์สูตรกันได้ ซึ่ง Sigma อาจทำแบบนั้นได้เหมือนกัน

ระบบโฟกัสอัตโนมัติก็ทำให้ผมประทับใจ ตอบสนองไว ติดตามวัตถุได้ดี และจับใบหน้าหรือสัตว์ได้แม่นยำ ในโหมดวิดีโออาจมี focus breathing บ้าง แต่ถ้าถ่ายภาพนิ่ง ผมว่าน่าเชื่อถือมาก

วิดีโอ: จุดอ่อนที่ชัดเจน

ส่วนวิดีโอนั้นเหมือนเป็นของแถมมากกว่า รองรับ 6K ที่ 30FPS และภาพที่ออกมาก็ดูดีเลย ถ่ายได้ทั้ง H.264 และ H.265 ในโคเดก Log ของ Sigma และมีสโลว์โมชั่น 1080p ที่ 120fps แต่การออกแบบมินิมอลของมันทำให้ถ่ายวิดีโอยากขึ้น ปรับตั้งค่ากลางคันลำบาก ไม่มีหน้าจอพับ แบตเตอรี่อึดไม่พอ และไม่มีกันสั่นในตัวทำให้ภาพสั่นง่าย ผมไม่ได้บอกว่าถ่ายวิดีโอไม่ได้นะ แต่จุดเด่นของกล้องตัวนี้อยู่ที่การถ่ายภาพชัดๆ

สรุป: กล้องที่ไม่เหมาะกับทุกคน

สำหรับกล้องราคา 66,000 บาท Sigma BF ขาดอะไรไปเยอะมาก การให้คะแนนมันเลยยากกว่าที่คิด ถึงข้อเสียจะเยอะ แต่ผมสนุกสุดๆ กับการใช้มันในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา และได้ภาพที่ผมชอบที่สุดบางใบ แต่ผมไม่กล้าแนะนำให้ทุกคน เพราะมันไม่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ถ้าคุณอยากได้กล้องลูกผสมที่ทำได้ทุกอย่าง ไปหาตัวอื่นเถอะ แต่ถ้าคุณอยากได้กล้องทันสมัยที่ใช้สนุก ถ่ายภาพสวย มีฟีเจอร์ใช้งานฉลาดๆ และหน้าตาดีเหลือเกิน Sigma BF คือตัวเลือกที่เยี่ยมมาก

ผมเชื่อว่า Sigma BF จะทิ้งรอยไว้ในวงการถ่ายภาพ ไม่ใช่แค่ดีไซน์ที่กล้าหาญ แต่เพราะมันยึดมั่นในความเรียบง่ายแบบสุดโต่ง จะประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ไหม คาดเดายาก ราคาอาจทำให้หลายคนเมิน แต่ถ้าคุณเห็นมันแล้วรู้สึกสนใจ มันมีโอกาสชนะใจคุณได้แน่ๆ เหมือนที่มันชนะใจผมมาแล้ว

YouTube ประกาศจัดงาน ‘Creator Collective’ รวมตัวครีเอเตอร์ทั่วสหรัฐฯ

YouTube เพิ่งออกมาประกาศจัดงานซีรีส์ใหม่ “Creator Collective” ซึ่งเป็นการรวมตัวแบบออฟไลน์ (IRL) ทั่วสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มได้มีโอกาสพบปะกัน แลกเปลี่ยนไอเดีย และเรียนรู้วิธีสร้างคอนเทนต์ที่โดนใจผู้ชมมากขึ้น

จากคำบอกเล่าของ YouTube:

“งาน Creator Collective ของเราออกแบบโดยครีเอเตอร์ เพื่อครีเอเตอร์ ตลอดทั้งปี 2025 เราจะจัดงานรวมตัวในหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ รวมถึงงานพิเศษอย่าง SXSW ในออสติน, VidCon ในอนาไฮม์ และ DreamCon ในฮิวสตัน แถมยังมีซีรีส์พิเศษสำหรับครีเอเตอร์วิดีโอสั้นโดยเฉพาะ และเราตื่นเต้นมากที่จะได้เจอกับครีเอเตอร์ในรัฐที่เราไปเยือนเป็นครั้งแรก”

ใช่แล้ว YouTube วางแผนจัดงานแบบพบหน้าค่าตากันจริงๆ ครบทั้ง 50 รัฐในสหรัฐฯ ตลอดปีนี้ และคุณสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานในแต่ละที่ได้ที่นี่

อย่างที่ YouTube บอก งานชุดนี้จะเน้นไปที่วิดีโอสั้น โดยเฉพาะการสร้างคอนเทนต์สำหรับ YouTube Shorts และวิธีที่ Shorts เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างช่องให้เติบโต

จากกระแสวิดีโอสั้นที่ TikTok เป็นผู้นำ Shorts กลายเป็นคอนเทนต์ที่เติบโตเร็วที่สุดของ YouTube ตอนนี้ทำยอดวิวได้มากกว่า 70,000 ล้านครั้งต่อวันไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้ Shorts เลยช่วยให้ครีเอเตอร์หลายคนเพิ่มการมีส่วนร่วมในช่องของตัวเองได้เยอะมาก และ YouTube เองก็ได้ประโยชน์จากการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นจากฟอร์แมตนี้ เลยอยากชี้ให้ครีเอเตอร์คนอื่นๆ เห็นว่าสามารถใช้ Shorts เชื่อมต่อกับผู้ชมในวงกว้างได้ยังไงบ้าง

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ยังอาจมีประโยชน์ในแง่ที่อนาคตของ TikTok ในสหรัฐฯ ยังไม่แน่นอน

ถึงแม้โอกาสที่ TikTok จะหาดีลลงตัวและยังคงอยู่ในสหรัฐฯ ได้มีสูง แต่ความไม่ชัดเจนที่ยืดเยื้อมานานคงทำให้ครีเอเตอร์ที่พึ่งพา TikTok หาเงินกินข้าวรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย และเริ่มมองหาแพลตฟอร์มอื่นเพื่อสร้างฐานที่มั่นคงกว่า

นี่เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมการโฟกัสที่วิดีโอสั้นในงานชุดนี้ถึงน่าสนใจ แถมยังเป็นโอกาสให้ YouTube ได้แชร์อัปเดตใหม่ๆ และเคล็ดลับดีๆ เพื่อช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมในชุมชนของครีเอเตอร์ด้วย

ถ้าคุณเป็นครีเอเตอร์บน YouTube ผมว่าคุ้มนะที่จะไปร่วมงาน Creator Collective ในรัฐของคุณ

Facebook เพิ่ม Stories เข้าโปรแกรมสร้างรายได้ให้ครีเอเตอร์

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 Facebook ออกมาประกาศข่าวดีสำหรับครีเอเตอร์ในแพลตฟอร์ม โดยเพิ่ม Facebook Stories เข้าไปในโปรแกรมสร้างรายได้ (Creator Monetization Program) ซึ่งนั่นหมายความว่าตอนนี้ครีเอเตอร์มีช่องทางทำเงินในแอปเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่องทางแล้ว

ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว Facebook ได้รวมโปรแกรมโฆษณาคั่นวิดีโอ (in-stream ads) กับโบนัสประสิทธิภาพ (performance bonus) เข้าเป็นโปรแกรมเดียวกัน เพื่อให้การสร้างรายได้ของครีเอเตอร์ง่ายขึ้น ไม่ต้องยุ่งยากสมัครหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะโพสต์วิดีโอ รีล รูปภาพ หรือข้อความ แค่เข้าร่วมโปรแกรมเดียวก็ทำเงินได้หมด

และตอนนี้ Stories ก็ถูกเพิ่มเข้ามาด้วย เปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์มีทางเลือกสร้างรายได้มากขึ้นไปอีก

Facebook อธิบายว่า:

“เราเห็นว่าตอนนี้ครีเอเตอร์หลายคนใช้ Facebook Stories เพื่อเชื่อมต่อกับแฟนๆ และจากนี้ไป พวกเขาจะสามารถทำเงินจากคอนเทนต์นั้นได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม แค่โพสต์ Stories เหมือนเดิมก็พอ ฟีเจอร์ใหม่นี้จะเริ่มใช้งานได้กับครีเอเตอร์ทุกคนที่เข้าร่วมโปรแกรมสร้างรายได้ของ Facebook ทั่วโลกแล้ว”

การทำเงินจาก Stories จะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพ (performance-based) ซึ่งเป็นแนวทางที่ Meta นำมาใช้ตั้งแต่ปีก่อน แทนที่จะเน้นจำนวนโฆษณาในคลิปยาวๆ ระบบนี้กระตุ้นให้ครีเอเตอร์สร้างคอนเทนต์ที่ดีขึ้น เพื่อดึงดูดยอดวิวและการมีส่วนร่วมจากผู้ชม

“ในโมเดลแบ่งรายได้จากโฆษณาแบบเก่า ครีเอเตอร์ได้เงินตามผลงานของโฆษณาที่แทรกอยู่ในคอนเทนต์ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ผู้ชมเห็นโฆษณากี่ตัวแล้ว ความถี่ของโฆษณา หรือราคา CPM แต่โมเดลใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพช่วยปลดล็อกข้อจำกัดเหล่านี้ ครีเอเตอร์ทำเงินได้ไม่ว่าคอนเทนต์จะมีโฆษณาหรือไม่ เพราะมันดูที่ยอดวิวและการมีส่วนร่วมเป็นหลัก”

แปลว่าครีเอเตอร์ที่ทำ Stories ไม่ต้องพึ่งการวางโฆษณาอีกต่อไป แต่จะได้ประโยชน์จากจำนวนคนที่เห็นและโต้ตอบกับคอนเทนต์ของตัวเองแทน

สำหรับครีเอเตอร์ที่เข้าร่วมโปรแกรมอยู่แล้ว สามารถเริ่มทำเงินจาก Stories ได้ทันที แค่โพสต์ตามปกติ ข้อมูลประสิทธิภาพจะถูกเพิ่มเข้าไปในสถิติของพวกเขาเลย ส่วนใครที่ยังไม่ได้สมัคร สามารถลงทะเบียนความสนใจได้ที่นี่

ทำไมถึงสำคัญ?

การเพิ่ม Stories เข้ามาครั้งนี้ถือว่าน่าสนใจ ขณะเดียวกัน Meta ยังกำลังทดลองโปรแกรมสร้างรายได้สำหรับครีเอเตอร์บน Threads ด้วย เพื่อดึงดูดให้คนดังๆ ยังคงโพสต์คอนเทนต์ในแอปของตัวเองต่อไป

เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะข้อมูลบอกเราว่ามีผู้ใช้โซเชียลมีเดียเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่โพสต์อะไรลงไปจริงๆ ส่วนใหญ่แค่เข้ามาดูเฉยๆ ดังนั้นถึงแพลตฟอร์มจะมีผู้ใช้เป็นล้านหรือพันล้าน แต่คนที่กำหนดทิศทางการมีส่วนร่วมจริงๆ มีแค่หยิบมือ

Meta เลยต้องทำให้คนกลุ่มนี้แฮปปี้ และโพสต์ต่อไปเรื่อยๆ การเพิ่มช่องทางทำเงินให้ครีเอเตอร์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดี

Oracle ผงาดเป็นตัวเต็งคว้าดีล TikTok ในสหรัฐฯ

มีอัปเดตสั้นๆ เกี่ยวกับมหากาพย์ TikTok ในสหรัฐฯ ที่หลายคนคงตามกันอยู่ ล่าสุดดูเหมือนจะไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์เลย เมื่อ Oracle กลายเป็นตัวเต็งที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรในดีลที่จะช่วยให้ TikTok ยังคงดำเนินการในอเมริกาได้ต่อไป ตามรายงานล่าสุดที่ออกมา

จากข้อมูลของ The Information พันธมิตรที่ประธานาธิบดี Donald Trump ชื่นชอบมานานกำลังเข้าใกล้การปิดดีลที่หวังว่าจะทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้

The Information รายงานว่า:

“Oracle กลายเป็นตัวเต็งที่จะเข้ามาช่วยบริหาร TikTok ในดีลที่ประธานาธิบดี Donald Trump กำลังจัดการ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายแยกส่วนหรือแบนที่ผ่านไปเมื่อปีที่แล้ว ข้อมูลนี้มาจากนักลงทุน นายธนาคาร และอดีตผู้บริหารที่รู้จักกับยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจากจีนนี้ดี”

ที่สำคัญ รายงานยังบอกด้วยว่า ByteDance เจ้าของ TikTok ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับการจับมือกับ Oracle เพราะทั้งสองเคยร่วมงานกันมาแล้วในโปรเจกต์ Project Texas ที่แยกข้อมูลผู้ใช้ในสหรัฐฯ รวมถึงการดูแลอัลกอริทึมของแอปด้วย

ถ้ายังจำกันได้ Oracle คือบริษัทที่ Trump พยายามผลักดันให้ซื้อกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2020 หลังจากที่เขาขู่จะแบนแอปนี้เพื่อลงโทษจีนที่ปล่อยให้โควิด-19 ระบาด (ใช่ครับ นั่นคือเหตุผลจริงๆ) ตอนนั้นดีลเกือบสำเร็จแล้ว TikTok ถึงขั้นออกมายืนยันด้วยซ้ำ

แต่พอถึงปี 2021 หลังจากประธานาธิบดี Biden เข้ามารับตำแหน่ง แผนการบังคับขาย TikTok ก็ถูกพักไว้ เพราะมีคำถามถึงวิธีการจัดการเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของสหรัฐฯ ยังคงกังวลเกี่ยวกับแอปนี้อยู่เรื่อยมา จนในที่สุดปีที่แล้วก็มีกฎหมายออกมาบังคับให้ TikTok ต้องตกเป็นของบริษัทอเมริกัน ไม่เช่นนั้นก็จะถูกแบนในสหรัฐฯ

และด้วยกฎหมายที่ผ่านไปก่อน Trump จะกลับเข้ามาดำรงตำแหน่ง เขาต้องหาทางทำดีลให้สอดคล้องกับกฎใหม่นี้ เพื่อให้ TikTok ยังคงใช้งานได้ในสหรัฐฯ ซึ่งเขาก็ดูตั้งใจมาก เพราะตอนนี้เขาเองก็กลายเป็น “ดาวเด่น” บนแอปนี้ไปแล้ว

ทำไมต้อง Oracle?

ถ้ามองในแง่ธุรกิจ Oracle ดูเป็นตัวเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุด เพราะเคยมีความสัมพันธ์กับ TikTok มาก่อน แถม CEO ของ Oracle อย่าง Larry Ellison ยังเป็นเพื่อนสนิทของ Trump อีกด้วย ซึ่งน่าจะช่วยให้เขาได้เปรียบในดีลนี้

ไม่นานมานี้ Ellison ยังไปโผล่ที่ทำเนียบขาวด้วย ตอนที่ Trump ประกาศโปรเจกต์ “Project Stargate” เกี่ยวกับ AI ซึ่ง Oracle จะมีส่วนร่วมในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ใหม่ในสหรัฐฯ ดังนั้นตั้งแต่แรกเริ่ม มันก็ดูชัดอยู่แล้วว่า Oracle น่าจะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง

แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Trump ออกมาบอกว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอถึง 4 รายสำหรับการซื้อ TikTok ในสหรัฐฯ และทุกข้อเสนอก็ดูดีทั้งหมด

อุปสรรคใหญ่จากจีน

คำถามตอนนี้คือ รัฐบาลจีนจะยอมให้มีการขาย TikTok ในสหรัฐฯ หรือไม่ และจะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) แสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการขายเต็มรูปแบบ โดยย้ำว่าอัลกอริทึมและระบบหลักของแอปจะไม่ถูกโอนให้พันธมิตรอเมริกันเด็ดขาด

Trump และทีมของเขาจะหาทางเจรจาให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ไหม และยังคงรักษา TikTok ให้เหมือนเดิมสำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ ได้หรือเปล่า?

ดูเหมือนเราจะได้คำตอบกันเร็วๆ นี้ เพราะกำหนดเส้นตายของการประกาศดีลนี้คือต้นเดือนหน้า

TikTok เผยรายงานใหม่: อิทธิพลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีมากแค่ไหน?

ในขณะที่ TikTok ยังคงดิ้นรนเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองในสหรัฐอเมริกา ล่าสุดแพลตฟอร์มนี้ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ TikTok มอบให้กับประเทศ โดยมีรายงานฉบับใหม่ที่ระบุว่า การใช้งาน TikTok เชื่อมโยงกับงานมากกว่า 28 ล้านตำแหน่งในอเมริกา

จากคำบอกเล่าของ TikTok เอง:

“วันนี้ Oxford Economics ได้เผยแพร่รายงานใหม่ที่วัดจำนวนงานที่ได้รับประโยชน์จาก TikTok ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ขาดไม่ได้สำหรับธุรกิจทั่วสหรัฐฯ โดยมีธุรกิจถึง 7.5 ล้านแห่งบนแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งจ้างงานพนักงานรวมกันมากกว่า 28 ล้านคน”

ตามรายงานของ Oxford มีงานกว่า 3.1 ล้านตำแหน่งในสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นโดยตรงจาก TikTok ไม่ว่าจะเป็นคนที่สร้างคอนเทนต์หรือจัดการบัญชี TikTok และยังมีพนักงานอีก 1.6 ล้านคนที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากแอปนี้ รวมแล้วมีงานเต็มเวลา 4.7 ล้านตำแหน่งที่ผูกติดกับการใช้งาน TikTok

ส่วนตัวเลข 28 ล้านนั้น มาจากจำนวนคนที่ “ทำงานในธุรกิจที่มีบัญชี TikTok” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทั้ง 28 ล้านคนนี้พึ่งพา TikTok โดยตรง แต่ในทางทฤษฎี พวกเขาได้รับประโยชน์บางอย่างจากแอปนี้ ซึ่งช่วยขยายภาพอิทธิพลของ TikTok ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ดูใหญ่โตขึ้น

TikTok ยังไปไกลกว่านั้นด้วยการแยกข้อมูลออกมาเป็นเอกสารสรุปตามรัฐต่างๆ เพื่อโชว์ให้เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนในแต่ละพื้นที่ของสหรัฐฯ แนวคิดนี้คือให้แฟนๆ TikTok ใช้ข้อมูลเหล่านี้ไปกดดันตัวแทนท้องถิ่นของตัวเอง เพื่อช่วยกันปกป้องแอปนี้ในอเมริกา

จริงๆ แล้ว TikTok ใช้วิธีนี้มานานแล้ว เพื่อพยายามโน้มน้าวให้รัฐบาลสหรัฐฯ ยกเลิกแผนบังคับให้ขายแอป แต่ตอนนี้มันดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว เพราะร่างกฎหมายบังคับให้ขาย TikTok ได้รับการอนุมัติไปเมื่อปีที่แล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ให้เวลาต่อรองเพิ่มอีก 75 วัน (จนถึงต้นเดือนหน้า) เพื่อหาพันธมิตรอเมริกันมาซื้อ TikTok แต่กฎหมายนี้ผ่านสภาไปแล้ว ด้วยคะแนนโหวตจากวุฒิสภาอย่างเป็นทางการ

ดังนั้น ผมไม่แน่ใจว่าการไปล็อบบี้ตัวแทนท้องถิ่นตอนนี้จะช่วยอะไรได้ แต่ถ้าคุณอยากรู้ว่า TikTok มีผลต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ของคุณแค่ไหน ตอนนี้คุณมีข้อมูลให้ดูแล้ว

ความจริงที่ TikTok อาจบิดเบือน

พูดตามตรง การนำเสนอแบบนี้จาก TikTok ดูจะเป็นตรรกะที่ค่อนข้างบิดเบี้ยว และเหมือนเป็นการเบี่ยงประเด็นจากปัญหาที่แท้จริงที่ทำให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ออกมาบังคับให้ขายแอปนี้

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา TikTok พยายามขายจุดเด่นเรื่องประโยชน์ของแอปให้คนอเมริกันรับรู้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีใครสงสัยในส่วนนี้อยู่แล้ว และมันก็ไม่เคยเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับแพลตฟอร์มนี้เลย

สิ่งที่สหรัฐฯ กังวลจริงๆ คือ TikTok อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลของชาวอเมริกันแล้วส่งต่อให้กับศัตรูต่างชาติ (ในที่นี้คือจีน) หรือไม่ก็เผยแพร่เนื้อหาที่สนับสนุนจีนให้คนอเมริกันจำนวนมากเห็น เราไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรคือประเด็นหลัก เพราะข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันร้ายแรงพอที่ทำให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาลงมติให้แบน TikTok ด้วยคะแนนรวม 431 ต่อ 83

เห็นไหมว่าไม่ใช่การตัดสินใจที่สูสีเลย เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่รู้สึกหวาดกลัวจากข้อมูลลับที่ได้รับ จนต้องอนุมัติร่างกฎหมายนี้ด้วยคะแนนท่วมท้น และเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ TikTok ช่วยเศรษฐกิจสหรัฐฯ เลยสักนิด

รายงานนี้มีไว้เพื่ออะไร?

ผมเลยสงสัยว่ารายงานฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายอะไรกันแน่ ดูเหมือน TikTok ยังเชื่อว่าสามารถโน้มน้าวนโยบายสหรัฐฯ ที่ตัดสินไปแล้วได้ และเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเอง ซึ่งในความเป็นจริงมันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว

ถ้าจะมีโอกาสจริงๆ บางที TikTok อาจต้องส่งรายงานนี้ไปให้ทรัมป์โดยตรงเลย เพราะเขาอาจจะสนใจตัวเลขผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจพวกนี้ และอาจยอมสู้เพื่อแอปนี้ แต่ถ้านอกเหนือจากทรัมป์หรือคนใกล้ชิดเขา ตอนนี้ความคิดเห็นของคนอื่นๆ คงไม่สำคัญอะไรแล้ว

error: Content is protected !!