เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมไปเจอบทความหนึ่งในนิตยสารท่องเที่ยวออนไลน์ เขียนโดย Charlie Hobbs เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 เป็นการรวมตัวคุยกันของทีมบรรณาธิการเกี่ยวกับกระแส “การนับประเทศ” หรือ country counting ที่กำลังฮิตใน Instagram อ่านไปแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจดี เลยอยากหยิบมาเล่าให้ฟังในมุมมองของผมที่ได้อ่านเจอเรื่องนี้
บทความนี้เริ่มจาก Matt Ortile บรรณาธิการร่วมที่บอกว่า เทรนด์นับประเทศนี่มัน “เอาท์” ไปแล้วสำหรับปี 2568 การนับประเทศที่ว่านี้คือการที่คนโพสต์ลิสต์ประเทศที่ตัวเองเคยไปในสตอรี่หรือไบโอ Instagram พร้อมติ๊กถูกข้างๆ หรือบางคนใส่ตัวเลขเลยว่า “ไปมาแล้ว 59 ประเทศ” แถมด้วยอิโมจิธงชาติต่างๆ ทีมงานชวนกันถกว่านี่มันดูเหมือนเป็นแค่การอวด หรือทำให้การเดินทางกลายเป็นลิสต์งานที่ต้องเคลียร์ แทนที่จะเป็นประสบการณ์ที่มีความหมาย
มันคืออะไรกันแน่?
Matt อธิบายว่า การนับประเทศคือการนับว่าคุณ “เคยไป” ที่ไหนบ้าง เขาไม่ชอบที่มันดูเหมือนการกวาดทุกอย่างให้ครบ แทนที่จะค่อยๆ ซึมซับ “มันเหมือนโชว์ว่าคุณไปไหนมาแล้ว แทนที่จะเล่าเรื่องราวจากที่นั่น หรือสัมผัสว่าการเป็นผู้มาเยือนมันหมายถึงอะไร” เขายกตัวอย่างคนที่บอกว่า “ไปกาตาร์มาแล้ว” แต่พอถามต่อ ปรากฏว่าแค่แวะสนามบิน “แบบนี้นับได้เหรอ?” Matt ตั้งคำถาม ซึ่งผมเองก็เริ่มสงสัยเหมือนกัน
Charlie ที่เป็นคนนำการคุย ถามทุกคนในทีมว่า “เคยโพสต์นับประเทศใน Instagram ไหม?” ทุกคนตอบว่า “ไม่” แต่เห็นคนอื่นทำบ่อย Jamie Spain บอกว่าเห็นบ่อยในกลุ่มคนทำคอนเทนต์ท่องเที่ยว “แบบ ‘ไปแล้ว 150 ประเทศ!’ มันบอกว่าคุณเดินทางเยอะ แต่ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับที่ที่ไป” ส่วน Emily Adler โยนคำถามกลับว่า “Instagram มันก็ตื้นเขินอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ซึ่ง Megan Spurrell เห็นด้วย แต่บอกว่า “การนับประเทศมันยิ่งตอกย้ำปัญหา มันทำให้คนมองว่าการเดินทางเป็นแค่การบอกคนอื่นว่าทำได้ แทนที่จะทำเพื่อตัวเอง”
การติ๊กถูกทำให้หมดสนุก?
Megan บอกต่อว่า “การนับแบบนี้มันตัดความหลากหลายของสถานที่ออกไป บางคนไปโตเกียวครั้งเดียวแล้วบอกว่า ‘ฉันไปญี่ปุ่นแล้ว’ แต่ญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่โตเกียว ถ้าคุณไปที่อื่น คุณจะเห็นอะไรที่ต่างออกไป” Charlie เสริมว่า “พอติ๊กถูกแล้ว มันเหมือนจบ แต่การเดินทางมันควรทำให้คุณอยากกลับไปอีก” อ่านตรงนี้แล้วผมเห็นภาพเลย บางทีการติ๊กถูกอาจทำให้เรามองข้ามความสวยงามของการไปซ้ำที่เดิม
Jamie เล่าถึง Matt ที่ไปปารีสหลายครั้ง “แต่ละครั้งมันไม่เหมือนเดิม เพราะเมืองเปลี่ยน คุณเปลี่ยน” Megan ก็แชร์ว่า “ตอนนี้ฉันอายุ 30 ต้นๆ กลับไปที่ที่เคยไปตอน 20 ต้นๆ มันต่างไปเลย เพราะฉันเห็นโลกมากขึ้น” Kat Chen เพิ่มว่า “บางคนนับเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ แต่พอคุยจริงๆ กลับได้แค่เรื่องผิวเผิน อย่างคนไปไต้หวันแล้วอวดว่าไปที่ ‘แปลกใหม่’ แต่ไม่ได้สัมผัสอะไรจริงๆ”
แล้วนับรัฐในสหรัฐฯ ล่ะ?
Emily ถามต่อว่า “ถ้าเป็นการนับรัฐในสหรัฐฯ ล่ะ มันต่างไหม?” Charlie เห็นด้วย “มันเหมือนซูมเข้าไปในประเทศเดียว อาจทำให้คนสนใจที่ที่ถูกลืม” Matt บอกว่า “นับ 50 รัฐมันต่างจริงๆ ผมเคยคุยกับคนที่บอกว่า ทุกรัฐในสหรัฐฯ มีโรงไวน์ ลองนึกภาพไปชิมไวน์ที่เซาท์ดาโกตา อลาสก้า ฮาวายสิ มันเจ๋งกว่า” Jamie เล่าเสริมว่า “เพื่อนเราคนหนึ่งวิ่งฮาล์ฟมาราธอนครบทุกรัฐ ตอนนี้ได้ 15 รัฐแล้ว” Matt ชอบไอเดียนี้ “มันเหมือนโปรเจกต์ตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่ตัวเลข”
การเดินทางที่มากกว่าตัวเลข
Megan ปิดท้ายว่า “ตอนเด็กๆ ครอบครัวฉันไม่ค่อยได้ไปไหนไกล พอเริ่มเที่ยวเอง ฉันตื่นเต้นที่ได้ไปที่ใหม่ๆ บางทีคนที่นับอาจแค่ภูมิใจที่ได้ออกไปเห็นโลก ฉันแค่อยากให้มันไม่ต้องกลายเป็นการแข่งขัน” อ่านจบแล้วผมรู้สึกว่า การนับประเทศมันอาจดูสนุกในแวบแรก แต่ถ้าคิดดีๆ มันทำให้การเดินทางกลายเป็นแค่ตัวเลข แทนที่จะเป็นความทรงจำหรือเรื่องราวที่เราจะเล่าต่อได้
คุณล่ะ อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกยังไง? ผมว่าเราน่าจะลองมองการเดินทางในมุมใหม่กันบ้างนะ