ถ้าจะบอกว่านี่คือคอมพิวเตอร์ที่รีวิวให้จบในเวลาไม่กี่วันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งที่ Apple ส่งมาให้ลองครั้งนี้คือ Mac Studio รุ่นท็อปที่มาพร้อมชิป M3 Ultra ซึ่งพูดได้เลยว่าแรงจนเกินความจำเป็นสำหรับคนทั่วไปอย่างผม และนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการใช้งานเท่านั้น
Mac Studio รุ่นใหม่นี้เปิดตัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพร้อมกับ MacBook Air และ iPad Air ที่อัปเกรดสเปก ซึ่งผมอดใจไม่ไหวที่จะขอสัมผัสเครื่องระดับท็อปแบบนี้ดูสักครั้ง Apple ส่ง Mac Studio ที่มีราคาค่าตัว 8,099 ดอลลาร์มาให้ลองใช้งาน โดยรุ่นนี้ใช้ชิป M3 Ultra ที่มี CPU 32 คอร์, GPU 80 คอร์ และหน่วยความจำแบบ unified memory ขนาด 256GB พร้อมพื้นที่จัดเก็บ 4TB ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่สเปกสูงสุด (ที่สามารถอัปได้ถึง 512GB และราคาพุ่งไปถึง 14,099 ดอลลาร์) แต่ก็ยังเป็นอะไรที่เกินความฝันของคนใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างแน่นอน
ไม่ใช่เครื่องสำหรับทุกคน
ตั้งแต่แรกเห็นราคาเริ่มต้นที่ 3,999 ดอลลาร์ ก็ชัดเจนแล้วว่า Mac Studio ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับคนธรรมดาทั่วไปที่แค่อยากได้คอมพิวเตอร์ไว้ใช้งานพื้นฐาน มันคือเวิร์กสเตชันสำหรับคนที่รู้อยู่แล้วว่าจะใช้พลังประมวลผลมหาศาลนี้ไปทำอะไร เช่น นักตัดต่อวิดีโอ ศิลปินด้านวิชวลเอฟเฟกต์ หรือคนที่ทำงานกับโมเดล 3D ที่ซับซ้อน ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มนี้ การลงทุนกับเครื่องแบบนี้อาจคุ้มค่าในเวลาไม่นาน เพราะมันช่วยประหยัดเวลาในการเรนเดอร์หรือส่งออกไฟล์ได้เยอะจริงๆ อย่างที่ผมลองทดสอบการส่งออกวิดีโอ 4K ใน Premiere Pro ผลคือมันใช้เวลาแค่ 50 วินาที ทำลายกำแพงหนึ่งนาทีที่ Mac รุ่นก่อนๆ ทำไม่ได้
แต่ถ้าคุณเป็นคนทั่วไปที่แค่อยากได้คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปดีๆ สักเครื่อง ผมแนะนำให้มองไปที่ M4 Mac Mini ดีกว่า ถ้าอยากได้แรงกว่านี้หน่อยก็เลือก M4 Pro ซึ่งจากที่ผมใช้แต่งภาพใน Lightroom มันก็ลื่นไหลไม่มีสะดุด หรือถ้าคุณเป็นคนตัดวิดีโอหรือทำงาน 3D บ้าง M4 Max ใน Mac Studio รุ่นเริ่มต้นที่ 1,999 ดอลลาร์ก็เพียงพอแล้ว แถมราคายังไม่สูงจนเกินเอื้อม
สเปกและการใช้งานแรก
ถึงผมจะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักของ Mac Studio รุ่น M3 Ultra แต่การได้ลองเครื่องแบบนี้ก็เหมือนได้ขับรถซูเปอร์คาร์สักคัน รุ่นที่ผมได้มาทดสอบมีจุดเด่นที่พอร์ต Thunderbolt 5 ด้านหน้าสองช่อง ซึ่งให้ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดถึง 120Gb/s (ในรุ่น M4 Max จะได้แค่ USB 3 ความเร็ว 10Gb/s) ส่วนด้านหลังมี Thunderbolt 5 อีกสี่ช่องเหมือนกันทุกรุ่น รวมถึงพอร์ต USB-A สองช่อง, HDMI, อีเธอร์เน็ต 10Gb และช่องหูฟัง 3.5 มม. ที่ยังคงมีอยู่ แม้ว่า Mac Mini จะตัด USB-A ออกไปแล้วก็ตาม
สิ่งที่ผมชอบมากคือมีช่องอ่านการ์ด SDXC แบบ UHS-II ซึ่ง Mac Mini ไม่มี และสำหรับคนที่ทำงานกับกล้องบ่อยๆ อย่างผม มันคือสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย น้ำหนักของรุ่น M3 Ultra อยู่ที่ 8 ปอนด์ หนักกว่ารุ่น M4 Max (6.1 ปอนด์) เพราะมีระบบระบายความร้อนด้วยทองแดงที่ใหญ่กว่า (รุ่น Max ใช้แค่ฮีทซิงค์อะลูมิเนียม)
ประสิทธิภาพที่เงียบกริบ
หลังจากใช้งานมาไม่กี่วัน ผมต้องบอกว่า Mac Studio รุ่นนี้แรงแบบเงียบจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งภาพใน Lightroom หรือใช้ฟีเจอร์ลดนอยส์ด้วย AI ใน Adobe มันจัดการได้รวดเร็วราวกับไม่มีอะไรหนักหนาสำหรับเครื่องนี้เลย เสียงพัดลมแทบไม่ได้ยิน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ Mac Studio รักษามาตั้งแต่รุ่นก่อนๆ
จากผลทดสอบเบื้องต้น Cinebench 2024 แสดงให้เห็นว่า M3 Ultra ได้คะแนน multi-core สูงถึง 3,057 เทียบกับ M4 Max ใน MacBook Pro 16 นิ้วที่ได้ 2,043 ส่วน Geekbench 6 ก็ยิ่งชัดเจนว่า multi-core ของ M3 Ultra ทิ้งห่างที่ 28,376 คะแนน ขณะที่ M4 Max ได้ 26,422 คะแนน แต่ถ้าเป็นงาน single-core ซึ่งสำคัญกับการใช้งานทั่วไป M4 Max กลับนำที่ 4,011 คะแนน เทียบกับ 3,246 คะแนนของ M3 Ultra
ใครที่เหมาะกับเครื่องนี้?
ชิป M3 Ultra เหมาะกับงานที่ต้องใช้พลังประมวลผลแบบเต็มสูบ เช่น การสร้างอนิเมชัน 3D การตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพ หรือแม้แต่การวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ขนาดใหญ่ ถ้าคุณทำงานด้าน AI และอยากรันโมเดล LLM บนเครื่องแบบ local หน่วยความจำ 256GB หรือสูงสุด 512GB ของรุ่นนี้ก็น่าสนใจมาก
สำหรับผมที่ใช้เวลาไม่กี่วันกับมัน ผมยังทดสอบได้แค่พื้นฐาน เช่น benchmark ทั่วไป และตั้งค่าเพื่อลองรันโมเดล AI บางตัว ต่อจากนี้ผมวางแผนจะให้เพื่อนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานหนักๆ มาลองใช้ดู เพื่อดูว่าเครื่องนี้จะตอบโจทย์พวกเขาได้แค่ไหน ถ้าคุณมีไอเดียหรืออยากให้ผมทดสอบอะไรเพิ่ม แนะนำมาได้เลยในคอมเมนต์!
ความประทับใจแรก
Mac Studio รุ่น M3 Ultra คือเครื่องที่ทรงพลังเกินกว่าที่คนทั่วไปจะใช้หมด แต่มันก็พิสูจน์ว่า Apple ยังคงเดินหน้าพัฒนาฮาร์ดแวร์สำหรับมืออาชีพได้อย่างน่าทึ่ง ขนาดที่เล็กกะทัดรัดแต่ใส่พลังมาเต็มเปี่ยมแบบนี้ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีงบไม่จำกัด ผมอาจจะยอมจ่ายเพื่อเครื่องแบบนี้จริงๆ แค่ช่อง SD card อย่างเดียวก็น่าจะทำให้ผมลังเลแล้ว
สำหรับตอนนี้ ผมยังมีเวลาอีกหลายสัปดาห์ที่จะลองขุดพลังของมันให้มากกว่านี้ ไว้เจอกันในรีวิวฉบับเต็ม!